ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาของกองกุมารเวชกรรมและภาควิชากุมารเวชศาสตร์
ความเป็นมาของกองกุมารเวชกรรมและการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า
ร้อยเอกประณต โพธิทัต ( ยศปัจจุบัน พลโท อดีตเจ้ากรมแพทย์ทหารบก ) ได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ป่วยเด็กร่วมกับโรคทางเดินอาหารที่ท่านมีความสนใจอยู่จึงนับว่าเป็นกุมารแพทย์รุ่นบุกเบิกคนแรกของกองทัพบก ขณะนั้นท่าน แพทย์หญิงสายหยุด เก่งระดมยิง กุมารแพทย์จากสหรัฐอเมริกาเป็นที่ปรึกษาซึ่งได้มาช่วยออกตรวจผู้ป่วยนอกและดูแลผู้ป่วยโดยมิได้มีตำแหน่งทางราชการแต่อย่างใด ในปี พ.ศ.2498 ร้อยโทหญิง มยุรี สุนทรเวช ( พลางกูร ) เข้ามารับราชการเป็นทหารในกรมแพทย์ทหารบก ท่านเป็นกุมารแพทย์คนแรกที่ได้รับการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะจากประเทศอังกฤษ การรักษาพยาบาลผู้ป่วยเด็กจึงเริ่มเป็นระบบมากขึ้น พ.ศ. 2501ร้อยเอกสันต์ หาอุปละ ( ยศขณะนั้น ) กลับจากการศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ได้ช่วยอาจารย์มยุรี อยู่จนกระทั่งปี พ.ศ.2506 จึงได้ลาศึกษาต่อวิชากุมารเวชศาสตร์และโรคหัวใจในเด็ก ( Pediatric Cardiology ) ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ร้อยโทหญิง ศรีลักขณ์ ตู้จินดา ( สิมะเสถียร ) เข้ามารับราชการทหารในปี พ.ศ.2503 ช่วยดูแลผู้ป่วยหญิงและเด็ก จนถึง พ.ศ.2506 จึงได้ไปศึกษาต่อวิชากุมารเวชศาสตร์ที่สหรัฐอเมริกาอีกท่านหนึ่ง พ.ศ.2506 พันเอกชม ศรทัตต์ ( ยศขณะนั้น ยศปัจจุบัน พลโท อดีตเจ้ากรมทหารบก ) เป็นอีกผู้หนึ่งที่ได้รับอนุมัติจากกองทัพบกให้ไปศึกษาต่อวิชากุมารเวชศาสตร์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อท่านกลับมาก็มิได้ทำหน้าที่กุมารแพทย์โดยตรง เพราะยศและตำแหน่งของท่านสูงเกินอัตราแต่อาจารย์ได้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านกุมารเวชศาสตร์อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นท่านยังเคยดำรงตำแหน่งอุปนายกสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทยหลายสมัย และได้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย 2 สมัยในปี พ.ศ.2513–2515 และ พ.ศ. 2517 – 2519 เป็นเกียรติของกุมารแพทย์ทหารบกอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมี ร้อยโทหญิงสมวงศ์ โพธิศิริ ( โรจนวงศ์ ) เป็นแพทย์ที่มีความสนใจโรคเด็กได้ลาไปศึกษาและกลับมาช่วยงานด้วยอีกท่านหนึ่ง
เส้นทางของสาขากุมารแพทย์กองทัพบกที่ก้าวข้ามกึ่งศตวรรษ ที่ผ่านมาได้มีการเจริญเติบโตตามลำดับอย่างมั่นคง มีศักดิ์ศรี ด้วยคุณูปการของอาจารย์กุมารแพทย์ผ้ก่อตั้งและบุกเบิกในอดีต สานต่อด้วยความมุ่งมั่นและความสามัคคี ของกุมารแพทย์ในปัจจุบันเพื่อนำพาให้การดูแลผู้ป่วยเด็ก และเยาวชนของประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยตลอดไป